ลูกของคุณมักมีอารมณ์แปรปรวนราวกับพายุหรือ เปล่า หรือว่าอารมณ์ของเขาเปลี่ยนแปลงง่ายราวกับสายลมไหม คุณกลัวหรือไม่ที่เขาโกรธหรือหงุดหงิดกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เกินกว่าระดับที่เหมาะสมหรือระดับปกติ
คุณพ่อคุณแม่อุ่นใจได้ ความโกรธเป็นอารมณ์ปกติที่เด็กเล็กทุกคนต้องเคยรู้สึก แม้ว่าความโกรธจะทำให้คนที่ตกเป็นเป้าหมายเกิดความเครียดได้อย่างมาก เช่น คุณพ่อคุณแม่และพี่น้อง แต่อันที่จริงแล้ว การโกรธมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาของมนุษย์ ตามคำกล่าวของดร. เวอร์จิเนีย ชิลเลอร์ PhD นักจิตวิทยาคลินิกที่ได้รับการอนุญาตอย่างถูกต้องและผู้เขียนหนังสือเรื่อง Rewards for Kids! Ready-to-Use Charts & Activities for Positive Parenting
“อารมณ์โกรธสามารถผลักดันให้เรามีความมั่นใจมากขึ้นและพยายามให้ความต้องการ ของตนเองได้รับการตอบสนอง และเมื่อเวลาผ่านไป อารมณ์โกรธจะแปรเปลี่ยนไปเป็นการทะเลาะเบาะแว้งในเรื่องที่สำคัญต่อครอบครัว เพื่อน และชุมชน ในระยะยาว ถ้าหากเราไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งเล็กๆ น้อยๆ เราก็อาจจะไม่สามารถยกระดับความรับผิดชอบและอิทธิพลของเราให้สูงขึ้นได้” ดร. เวอร์จิเนียกล่าว
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ในการที่จะเปลี่ยนให้อารมณ์โกรธกลายเป็นแรงผลักดันในเชิงบวกนั้น เด็กจะต้องเรียนรู้ที่จะแสดงอารมณ์โกรธในรูปแบบที่เหมาะสม คุณพ่อคุณแม่มีบทบาทสำคัญในกระบวนการเข้าสังคมนี้ “คุณพ่อคุณแม่เป็นได้ทั้งต้นแบบที่ดีและสามารถสอนลูกถึงการแสดงอารมณ์โกรธ อย่างเหมาะสม และสามารถขัดจังหวะเวลาเด็กแสดงอารมณ์โกรธอย่างเป็นฟืนเป็นไฟ โดยใช้วิธีอย่างสร้างสรรค์ได้” ดร. เวอร์จิเนียอธิบาย
ช่วงเวลาที่สามารถสั่งสอนเขาได้
คุณพ่อคุณแม่มักมีโอกาสขัดจังหวะเวลาที่ลูกแสดงอารมณ์โกรธ ดร. เวอร์จิเนียกล่าวว่าหากลูกทะเลาะกับพี่น้องหรือเพื่อนเรื่องของเล่น และผลักหรือตีคนอื่นเพื่อให้ได้ของเล่นนั้นมา คุณพ่อคุณแม่สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในเชิงลบนี้ให้เป็นประสบการณ์เรียน รู้ในเชิงบวกได้ โดยสอนลูกถึงวิธีการที่ดีกว่าเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ เช่น การผลัดกันเล่นและรู้จักแบ่งปัน คุณพ่อคุณแม่สามารถแนะนำแนวทางให้ลูกจัดการกับอารมณ์โกรธในวิธีที่สร้าง สรรค์ได้ คุณพ่อคุณแม่อาจแสดงบทบาทเป็นเพื่อนเล่นของเขาและฝึกหัดลูกด้วยการร้องแบ่ง ของเล่นจากเขา
หากลูกๆ เกิดทะเลาะกัน คุณพ่อคุณแม่สามารถเข้าไปเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้ก่อนที่เรื่องจะลุกลามใหญ่ โต “อธิบายให้ลูกฟังว่าทำไมเขาถึงไม่ควรจิ้มนิ้วตาน้อง ในขณะเดียวกันก็ค่อยๆ ดึงตัวน้องออกมา พยายามอย่าโกรธลูก เพื่อว่าทั้งคุณแม่และลูกจะได้สามารถแยกแยะระหว่างอารมณ์และการกระทำได้ และควรแนะนำวิธีอื่นๆ สำหรับจัดการกับสถานการณ์ที่ทำให้ลูกโกรธ” กล่าวโดยเดบาร่า กิลเบิร์ต โรเซนเบิร์ก นักสังคมสงเคราะห์ในคลินิกที่ได้รับใบอนุญาตอย่างถูกต้อง นักจิตบำบัด และผู้เขียนเรื่อง The New Mom's Companion: Care for Yourself While You Care for Your Newborn
ถึงแม้ว่าจุดมุ่งหมายสูงสุดคือการยับยั้งการแสดงพฤติกรรมที่รับไม่ได้ เช่น ความรุนแรงและความเกรี้ยวกราด แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ควรระลึกอยู่เสมอว่า ไม่ควรห้ามไม่ให้ลูกรู้สึกโกรธเลย นอกจากนั้น การที่ลูกแสดงอารมณ์โกรธออกมายังช่วยให้คุณพ่อคุณแม่รับรู้ถึงอารมณ์ในด้าน ลบของลูก และคุณพ่อคุณแม่จะได้พูดให้ลูกฟังว่าอารมณ์ที่ลูกกำลังรู้สึกอยู่นั้นคือ อะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเขายังพูดไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น คุณพ่อคุณแม่อาจพูดว่า “ลูกโกรธมากเลยที่โจอี้เอาของเล่นไปจากหนู” จากนั้นจึงตามด้วยการให้คำแนะนำว่าเขาสามารถทำอะไรได้ในตอนนี้ เช่น “ไปหาของเล่นอื่นมาเล่นกันดีกว่านะจ๊ะ”
“คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่ที่มีลูกวัยหัดเดินรู้อยู่แล้วว่าถ้าพูดว่า 'ลองเล่าให้แม่ฟังซิจ๊ะ' กับเด็กที่กำลังโกรธอยู่ จะเป็นการกระตุ้นให้เขาระบายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดแทนที่จะหันไปใช้กำลัง ” เดบาร่ากล่าว
นอกจากนั้น คุณพ่อคุณแม่ยังอาจคิดแผนสร้างแรงจูงใจ โดยให้รางวัลเล็กๆ น้อยๆ กับลูกเวลาที่เขาผลัดกันเล่นหรือแบ่งกันเล่นแทนที่จะชกต่อยหรือแย่งชิงกัน ดร. เวอร์จิเนียกล่าวเพิ่ม ในระยะยาว วิธีนี้จะช่วยสร้างแรงจูงใจให้เด็กพยายามผลัดกันเล่นของเล่นมากขึ้น
หากคุณพ่อคุณแม่รู้สึกว่าลูกระเบิดอารมณ์โกรธออกมาจนเกินการควบคุม โกรธอย่างต่อเนื่อง อย่างรุนแรง และ/หรืออาจเป็นอันตรายได้ คุณพ่อคุณแม่ควรหาความช่วยเหลือจากผู้อื่นจะดีที่สุด เดบาร่ากล่าว “คุณพ่อคุณแม่อาจรู้สึกอุ่นใจเมื่อรู้ว่าลูกของตัวเองปกติสมบูรณ์ดี แต่คุณพ่อคุณแม่ยังอาจค้นพบด้วยว่าการให้ความสนับสนุนและการชี้นำแก่ลูกก็ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับครอบครัวเช่นเดียวกัน“
การค้นหาวิธีแก้ปัญหา
คริสติน ดามิโก ครูฝึกสอนส่วนตัวและผู้เขียนเรื่อง The Pregnant Woman's Companion กล่าวว่าคุณพ่อคุณแม่สามารถให้ความช่วยเหลืออย่างสร้างสรรค์แก่เด็กเพื่อ จัดการกับความโกรธได้โดยอย่าทำให้เขาอับอายหรืออย่าบอกเขาว่าความโกรธเป็น เรื่องที่ผิด เด็กจำเป็นต้องเรียนรู้ถึงวิธีการจดจำว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้เขาโกรธและจาก นั้นจึงตอบสนองในเชิงสร้างสรรค์
คริสตินกล่าวว่า ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพยายามอธิบายเหตุผลให้ลูกฟังในขณะที่เขากำลังโกรธ เป็นฟืนเป็นไฟ “ควรปล่อยให้เขาอารมณ์เย็นลงก่อน และปล่อยให้เขาทำอะไรก็ได้ตามใจเขาในเวลาที่เขากำลังโกรธ คุณแม่อาจพาเขาเข้าห้องเพื่อสงบสติอารมณ์ หรือคุณแม่อาจนั่งกับเขาในขณะที่เขาระบายความโกรธออกมา” เธออธิบาย เมื่อลูกอารมณ์เย็นลงแล้ว คริสตินแนะนำให้คุณแม่คุยกับลูกว่าอะไรที่ทำให้เขาโกรธ ช่วยให้เขามองสถานการณ์อย่างรอบด้าน พยายามคิดหาทางเลือกใหม่ๆ ด้วยกัน ซึ่งทางเลือกนี้ต้องสนองความต้องการของทุกคนที่เกี่ยวข้องในสถานการณ์นั้น เธอกล่าวว่าคุณพ่อคุณแม่ยังสามารถพูดคุยกับลูกถึงวิธีการแสดงอารมณ์โกรธที่ เหมาะสมได้ด้วย บอกกับเขาว่าสิ่งที่เขาทำนั้น เป็นพฤติกรรมที่ไม่น่ารักเลยและการทำพฤติกรรมอย่างนั้นเป็นการไม่ให้เกียรติ ตัวเองและผู้อื่น
การอ่านหนังสือที่มีตัวละครที่ต้องจัดการกับอารมณ์โกรธ ก็สามารถช่วยให้เด็กเข้าใจว่าเขาไม่ได้รู้สึกแบบนี้คนเดียว ได้ หนังสือเรื่อง When I Wished I Was Alone ซึ่งเขียนและวาดภาพประกอบโดยเดฟ คัตเลอร์ ก็เป็นตัวอย่างที่ดี หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่โกรธมาก และเนื้อเรื่องจะพูดถึงว่าความโกรธเป็นยังไงและจะระงับอารมณ์โกรธได้ยังไง คุณพ่อคุณแม่สามารถใช้หนังสือเล่มนี้เป็นจุดเริ่มต้นในการพูดถึงอารมณ์โกรธ กับลูกน้อยก็ได้
การควบคุมของคุณพ่อคุณแม่
คุณพ่อคุณแม่มักเป็นต้นแบบในเรื่องวิธีจัดการกับความโกรธให้เด็กเห็นอยู่ เสมอ ถึงแม้ว่าคุณพ่อคุณแม่ส่วนมากจะไม่รู้ตัวก็ตาม “หากคุณพ่อคุณแม่ตะโกนใส่กัน ด่าว่ากัน ตะโกนใส่ลูกๆ และระเบิดอารมณ์เกรี้ยวกราดหรือขว้างปาของใส่กัน ลูกๆ ก็จะเรียนรู้ว่าการระเบิดอารมณ์โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเป็นวิธีที่ยอมรับได้ในการ จัดการกับอารมณ์โกรธเดบาร่ากล่าว
เธอแนะนำว่าคุณพ่อคุณแม่สามารถเรียนรู้เพื่อจัดการกับอารมณ์โกรธของตัวเอง ได้ และในบางโอกาสควรปล่อยให้เด็กๆ ได้เห็นวิธีการแสดงอารมณ์โกรธอย่างเหมาะสม (ถึงอย่างไรก็ตาม ไม่ควรปล่อยให้เด็กเห็นคุณพ่อคุณแม่ทะเลาะกันบ่อยนัก) หากลูกเห็นคุณพ่อคุณแม่แสดงอารมณ์โกรธโดยไม่ต้องด่าทอกันหรือใช้ความรุนแรง เขาก็เรียนรู้ที่จะทำแบบเดียวกันนี้
“คุณพ่อคุณแม่มีบทบาทสำคัญ” คริสตินกล่าว “คุณพ่อคุณแม่สามารถสอนให้ลูกรู้ว่าการแสดงความโกรธหรือความหงุดหงิดแบบไหน ใช้ได้และแบบไหนใช้ไม่ได้ คุณพ่อคุณแม่สามารถสอนเรื่องนี้ให้ลูกได้ด้วยการพูดให้เขาฟัง รวมถึงวิธีการที่คุณพ่อคุณแม่แสดงออกเวลาที่โกรธด้วย” เธอยังกล่าวต่อไปอีกว่า “เราเป็นต้นแบบให้เด็กเห็นว่าการโกรธเป็นอย่างไรและจะตอบสนองต่อความโกรธ อย่างไร ลูกของเรามักลอกเลียนแบบการแสดงออกเขาเราไปใช้ในพฤติกรรมการแสดงความโกรธของ เขาเอง”
“เราแทบจะไม่เห็นเด็กที่มีอารมณ์โกรธถึงขนาดที่ควบคุมไม่ได้ในครอบครัวที่ จัดการกับความโกรธในวิธีที่สร้างสรรค์และไม่ทำร้ายจิตใจกัน” เดบาร่ากล่าวสรุปว่า “คุณพ่อคุณแม่สามารถแสดงให้ลูกได้เห็นว่า ถึงแม้ว่าเราจะรักใครบางคน แต่เราก็อาจไม่เห็นด้วยกับเขาหรือโกรธเขาในแบบที่น่ารักๆ ก็ได้ ซึ่งจะเป็นบทเรียนที่ประมาณค่ามิได้สำหรับเด็ก”
ที่มา : ฮักกี้ดอทซีโอดอททีเฮท
Friday, August 21, 2009
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
1 comments:
ขอบคุณข้อความดีๆค่ะ
Post a Comment